เวลามีค่า

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

     ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไป
ประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง  นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ  งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัด
เป็นสำรับจะต้องประกอบด้วย  ของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง   ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด   ตลอดจนลักษณะที่
กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่ และขนมเป็นน้ำ 1 ที่เสมอ

           ประเทศไทยครั้งยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ  เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
โดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกัน      ตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย    ต่อมาใน
สมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์          ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ       อย่างกว้างขวางไทยได้รับเอา
วัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น  วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้
ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ  จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ   แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ ๆ   และอะไร
ดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น        เช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ     ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จ
พระนารายณ์มหาราช          จากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น  สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์
ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น  ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น  หากยังให้
ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย  ส่วนใหญ่ตำรับขนมที่ใส่มักเป็น "ของเทศ" เช่น ทองหยิบ
ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์

           ขนมไทย   เป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี  เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้
เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำ       ตั้งแต่วัตถุดิบ  วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน    ในเรื่องรสชาติ สีสัน
ความสวยงาม กลิ่นหอม   รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน   ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตก
ต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ

           ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย    ในพิธีการต่าง ๆ   เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนม
จากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ    งานศิริมงคลต่าง ๆ   เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด
หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่       ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน      เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมี
ฝอยทอง    เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกัน ยืดยาวมีอายุยืน      ขนมชั้น ก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน      ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู
ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
ขนมที่ใช้ในงานมงคลสมรส
ถ้าเป็นงานมงคลสมรสมักจะทำขนมหวานให้ครบ 9 สิ่งขนมที่ใช้ในงานมงคลสมรสตามประเพณี  ทางฝ่าย
เจ้าสาวจะต้องเป็นผู้จัด และขนมที่นิยมจัด คือ
           1. ฝอยทองหรือทองหยิบ
           2. ขนมชั้น
           3. ขนมถ้วยฟู
           4. ขนมทองเอก
           5. ขนมหม้อแกง
           6. พุทราจีนเชื่อม
           7. ข้าวเหนียวแก้ว หรือวุ้นหน้าสีต่าง ๆ
           8. ขนมดอกลำดวน
           9. ผลไม้ต่าง ๆ ลอยแก้ว
      แต่ตามความเชื่อบางอย่างของคนไทย ขนมที่มีลักษณะเป็นเส้น มักจะใช้สำหรับงานทำบุญอายุ     เพราะเชื่อ
ว่าจะช่วยให้มีอายุยืนยาว     แต่กลับไม่ใช้จัดในงานศพ      เพราะเชื่อว่าจะมีการตายต่อเนื่องไม่เป็นมงคล  ความเชื่อ
เหล่านี้ถือเป็นเหตุผลของแต่ละบุคคลมิได้เป็นข้อห้ามเสียทีเดียว